ถึงพี่น้องและมิตรสหายทุกคน
ถ้าพวกเรายังจำกันได้พวกมิตรสหายเก่าๆที่เคยร่วมเวทีกับผมตั้งแต่ปี๒๕๔๑ เราได้รวมตัวกันจัดเวที “กอบบ้าน กู้เมือง” และต่อมาก็ได้ร่วมทำงานในโครงการ SIFกับ อเนก นาคะบุตร และอาจารย์ไพบูลย์ เราได้เรียนรู้ร่วมกันในการกอบกู้บ้านเมืองในมิติของเศรษฐกิจภาคชุมชนอันนำไปสู่ระลอกคลื่นแห่งการตื่นตัวด้านงานประชาสังคมและจิตอาสาของจังหวัดต่างๆ และมีคนออกมาทำงานด้านสังคมนับหมื่นคน
หลังจากรัฐประหารวันที่ ๑๙ กันยายนและมี คมช.ที่พล.อ. สนธิ บุญรัตนกลิน เป็นแกนนำ ตามมาด้วยรัฐบาลชุดขิงแก่ที่มีพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสถานการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคมไทยก็มีความสลับซับซ้อน ยุ่งเหยิง วุ่นวายไร้เสถียรภาพ โดยมีความสงบสั้นๆเป็นครั้งคราว ทำให้ประชาชาติไทยติดหล่มไม่คืบหน้า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าซึ่งจมปลักอยู่หลายปี เริ่มมีแสงสว่างและความหวังฉายฉาน ดังนั้น ๒๕๕๐ ด้วยการสนับสนุนของสช. ผมจึงได้เริ่มโครงการระดมสมองและฝึกอบรม“พัฒนาศักยภาพของเราให้สูงสุดเพื่อรับมือวิกฤตชาติ”จากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนัก ๕ ของสสส.ในการพัฒนาการเรียนรู้การบูรณาการ ซึ่งแก่นของทักษะและความรู้ก็เป็นเรื่องการยกระดับความสามารถของเราให้ถึงระดับที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมความหลากหลายของกลุ่มคนมาทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ปรารถนาในการทำให้ชุมชนและจังหวัดของตนน่าอยู่ ซึ่งมีทั้งมิติวัฒนธรรม เศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม การฝึกอบรม“เมล็ดพันธุ์ชีวิตบูรณาการ” นั้นอยู่ในบริบทของการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ปั่นป่วนและเราก็ยังไม่ได้ไปทำอะไรในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างจริงจัง พวกเราที่เข้าเวทีทุกคนตระหนักต่อสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังเดินไปในทิศทางที่เสื่อมลงเป็นอย่างดี แต่เราคิดว่า เรานั้น “ตัวเล็กเกินไป ไม่มีอำนาจ”ที่สามารถปัดเป่าความทุกข์ของประเทศไทยได้จึงยังไม่ได้ทำงานใหญ่ระดับชาติ ครั้นปี ๒๕๕๒ เดือนมิถุนายน ความพยายามในการหาทางออกให้แก่บ้านเมืองอ.ประเวศ และอดีตนายกรัฐมนตรี คุณอานันท์จึงนำโครงการปฏิรูปประเทศไทย และจัดเวทีระดมสมอง จัดสมัชชาปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ความตื่นตัวเพื่อเอาชนะปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองในการลดอำนาจรัฐขจัดความเหลื่อมล้ำ ต่อต้านการคอรัปชั่น ค่อยๆก่อตัวเสมือน“น้ำทะเลหนุน”ทางการเมือง แต่ไม่ใช่สึนามิการเมืองที่จะกวาดล้างความชั่วของการเมืองผูกขาดให้ลงทะเลไปในพริบตา
ปี ๒๕๕๓กระแสความเบื่อหน่ายนักการเมืองและพรรคการเมืองในภาคประชาสังคมมีเพิ่มมากขึ้น จนมีการแสวงหาทางออกของท้องถิ่นจัดการตนเอง เกิดขบวนการและโครงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและการจัดการตนเอง ในหลายจังหวัดและขับเคลื่อนไปตามจริตของแกนนำที่น่าสนใจ มันเป็นประชาธิปไตยของประชาชนที่มีอนาคตและเป็นไปได้…แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นจริงได้ ก็ต้องข้ามด่านและเอาชนะความท้าทายครั้งใหญ่ในวันนี้คือสถานการณ์อันร้อนระอุของการเมืองออกกฎหมายล้างผิดให้กับการคอรัปชั่นและความผิดทางอาญาในเดือนพฤศจิกายน๒๕๕๖ ให้ได้เสียก่อน ในทัศนะของผมการกระจายอำนาจและการจัดการตนเองของท้องถิ่นในเรื่องการจัดการน้ำเรื่องจัดการป่า จัดการที่ดินทำกินและสิทธิชุมชน นั้นแยกไม่ออกจากระบบธรรมาภิบาล ซึ่งมีรากฐานของความเข้มแข็งในระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลด้านอำนาจการเมืองและอำนาจเศรษฐกิจ มีความโปร่งใส ที่สังคมเฝ้าดูและสังเกตอำนาจสั่งการของข้าราชการและรัฐบาลที่ต้องยืนอยู่บนหลักนิติรัฐและนิติธรรม
พวกเราคนทำงานด้านประชาสังคมควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ทำตัวเป็นผู้ดูผู้สังเกตการณ์ (observer) การต่อสู้ทางการเมืองอีกต่อไป แต่ผมขอเชิญชวนมิตรสหายให้ เรามาเป็น ผู้เล่น(player)ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้โดยใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนรู้กันมาให้เป็นประโยชน์ในการทำงานอย่างสร้างสรรค์และสันติ เลิกพร่ำบ่น ขจัดความท้อแท้ลังเลในหัวใจเข้าร่วมทำในสิ่งที่ดีเพื่อผดุงธรรมรักษาบ้านรักษาเมือง ส่งมอบสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้แก่อนุชนคนรุ่นหลัง ผมและพวกเราตระหนักแก่ดีว่า มันเป็นเรื่องที่ยาก และใช้เวลาแต่เราไม่ควรหลีกลี้หนีหน้าในสถานการณยามนี้ ลงมือทำ”ปฏิบัติการอันนุ่มนวล (gentleaction) “น้ำทะเลหนุน ให้เป็นสึนามิการเมือง” ให้เป็นจริง
ขอตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงบรรพบุรุษที่ผู้พยายามรักษาบ้านเมืองเพื่อพวกเรา รับมรดกที่ล้ำค่ามาด้วยความภาคภูมิใจและสืบทอดส่งต่อไปอย่างกล้าหาญ เยือกเย็น อ่อนโยน แต่หนักแน่นมันคง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดูแลและปกป้องคุ้มครองพวกเรา
ด้วยมิตรภาพและภราดรภาพ
ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖